ให้คุณใด้ประโยชน์สูงสุดมาเรียนรู้กัน
สอนให้ทำเป็น
เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นและสุขภาพดีสูงสุด
เราจึงคิดและพัฒนาแผนธุรกิจคุณธรรมที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อเปิดโอกาสให้คุณสามารถใช้ศักยภาพของคุณได้เต็มร้อย เพื่อสร้างชีวิตของคุณได้ในแบบที่ต้องการ สร้างธุรกิจของคุณเองที่สามารถเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญใดๆ แบบอย่างจากผู้สำเร็จขั้นสูงในธุรกิจ ให้คุณสามารถต่อยอดได้ทันที่ สามารถทำงานอย่างมืออาชีพได้อย่างรวดเร็วทั้งบนโลกออนไลน์และออฟไลน์และมั่นใจอย่างยิ่งว่าผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ที่ให้บริการกับ คนรักสุขภาพอย่างคุณ เราจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมให้มีความรอบรู้รอบด้านในเรื่องโภชนาการที่ดีเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของทุกคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของผู้ชำนาญการเรื่องผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ของเราเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค
ให้คุณสร้างเครือข่ายกับผู้คนที่ใส่ใจในความสวยความงาม
เรามีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์เพื่อความงาม
อันเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแบรนด์อาร์ทิสทรี ที่ช่วยให้คุณเป็นคนใหม่ที่ดูดียิ่งขึ้น
ให้คุณสร้างเครือข่ายกับผู้คนที่มีประโยชน์กับคนที่คนรักบ้าน
เราพร้อมดูแลคุณและครอบครัวให้มีสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับบ้าน
เช่น แคร์โฮม เครื่องกรองน้ำ อีสปริง และเครื่องกรองอากาศ แอทโมสเฟียร์ สกาย
ให้บริการกับคนที่คนที่ชอบออกไปใช้ชีวิตและหาประสบการณ์ใหม่ๆ
เรามีผลิตภัณฑ์เอ็กซ์เอส
ที่ช่วยสร้างพลังแห่งการผจญภัยให้คุณอย่างมีชีวิตชีวาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับธุรกิจนี้ ที่พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีสินค้าเพื่อสุขภาพมาตรฐานระดับโลก
และจัดสรรรูปแบบการทำงานได้เอง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
พร้อมเลือกได้ว่าต้องการสร้างรายได้มากเท่าใดและเวลามากขนาดไหน เพราะความสำเร็จกับเราสร้างได้ไม่จำกัด
ให้คุณสร้างเครือข่ายกับผู้คนที่เรียนรู้ในโครงการ Pre Owner Net Work
เรียนรู้เบื้องต้นเพื่อให้คุณรูและมีประสฐการณ์จากภาคปฎิบัติจริง สามารถมีปันผลจริงเป็นรายได้เสริมควบคู่กับงานประจำของคุณโดยใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาเก็บประสบการณ์วันละ 1 - 3 ชั่วโมงทุกวันๆ กับกิจกรรมที่ดีมีประโยชน์จากเวลาว่างหัวข้อที่ควรเรียนรู้คือ
1. ความเป็นมาของปณิทาณ
2. แหล่งผลิตจากธรรมชาติ
3. ขั้นต้นควรต้องปฎิบัติ
4. สินค้า 8 ชนิดที่แนะนำให้เรียนรู้
เมื่อเรียนรู้และลงมือทำตามที่แนะนำ คุณเชื่อไหม ภายในระยะเวลา 90 วันคุณจะมีปันผลต่อเดือนในระดับเกินหนึ่งหมื่นบาทซึ่งเป็นระดับที่ช่วยให้คุณใช้เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในขั้นต่อไป
คุณจะได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือที่ช่วยทุนแรงของคุณคือเซ็นเตอร์หรือโรงเรียนของเรา ที่จะช่วยประหยัดเวลาและช่วยให้คุณได้เม็ดงานที่มีประสิทธิภาพตลอดจนคุณจะมีความรู้แลความชำนาญที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสามารถเติบโตเป็นเจ้าของธุรกิจตัดขาดออกจากสายงานการสปอนเซอร์ เพื่อที่จะเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดจะได้ใช้คุณสมบัติพิเศษของแผนธุรกิจที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเราจะสำเร็จไปด้วยกันครับ
ความรู้ใน Pre Net Work
นำเสนอข้อมูลการเริ่มธุรกิจที่ง่ายและให้ความสำเร็จกับคุณอย่างแตกต่าง เป็นเทคนิคและเคล็ดเด็ดที่ได้ทำการทดสอบว่าได้ผลจึงนำมาบอกต่อให้กับคุณ
ตัวอย่าง
Protein Plus พลัสสุขภาพและการเคลื่อนไหว
ปัญหาสุขภาพด้านการเคลื่อนไหว (Mobility Health) ในผู้สูงอายุ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องประสบปัญหาในการเคลื่อนไหว เนื่องมาจากความเสื่อมของสภาพของร่างกายตามอายุ ผู้สูงอายุจะมีมวลกระดูกน้อย มีโอกาสแตกหักได้ง่าย และมีมวลกล้ามเนื้อน้อยลง สูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่น จนนำไปสู่โรคข้อเสื่อมในท้ายที่สุด
ปัจจุบัน โรคข้อเสื่อมเป็นปัญหาที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของผู้สูงอายุในประเทศไทย
ความสำคัญของ "ข้อ"“ข้อ” มีหน้าที่ในการยึดกระดูกและทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่นในทิศทางและรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ข้อยังต้องรับน้ำหนักตัวเกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นั่ง หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยองเป็นประจำ การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา หรือการลื่นหกล้ม ทั้งหมดนี้ต่างส่งผลกระทบทำให้เกิดข้อและนำไปสู่ภาวะข้อเข่าเสื่อมได้ |
โครงสร้างข้อ ประกอบด้วย
เส้นเอ็น (Ligaments) ทำหน้าที่ยึดกระดูกให้เชื่อมต่อกัน
กระดูกอ่อนผิวข้อ (Articular Cartilage) จะมีความลื่นและความยืดหยุ่น เพื่อให้ทนต่อการรับแรงกดที่ลงมาที่ข้อได้
หมอนรองกระดูก (Articular Disc หรือ Meniscus) ทำหน้าที่เหมือนเบาะรับแรงกระแทกบริเวณข้อ เพิ่มความมั่นคงให้ข้อและช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้ราบรื่นขึ้น
น้ำไขข้อ (Synovial Fluid) ช่วยให้ข้อเคลื่อนที่ได้ไหลลื่นและป้องกันไม่ให้กระดูกเสียดสีกัน
“กล้ามเนื้อบริเวณข้อ” สำคัญอย่างไร
ลักษณะของโรคข้อเข่าเสื่อม
กระดูกอ่อนผิวข้อเสื่อมสภาพ (Degenerated Cartilage หรือ Cartilage Loss) เกิดการสึกกร่อนและบางลง จึงเกิดการเสียดสีภายในข้อทำให้เกิดความเจ็บปวด นอกจากนี้เศษกระดูกอ่อนอาจหลุดออกมาในน้ำในข้อทำให้เกิดการอักเสบ
หมอนรองกระดูกสึกกร่อน (Degenerated Meniscus) เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย ทำให้ข้อไม่สามารถรับน้ำหนักได้ตามปกติและรู้สึกปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหว
กระดูกงอก (Osteophytes หรือ Bone Spurs) ใต้บริเวณกระดูกอ่อนผิวข้อ เกิดจากการที่ร่างกายซ่อมแซมกระดูกจนผิดรูปร่าง กระดูกที่งอกขึ้นมาใหม่อาจเสียดสีกับกระดูกส่วนอื่นทำให้รู้สึก เจ็บปวดได้
โปรตีน พลัส
โซลูชั่นเพื่อความแข็งแรงและคล่องตัว
ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ
เช่น บริหารกล้ามเนื้อต้นขาซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้มีความแข็งแรง ก็มีส่วนช่วยเสริมความมั่นคงให้กับข้อเข่าและช่วยชะลอข้อเข่าเสื่อมได้
น้ำมันปลาคืออะไร กินอย่างไร กินตอนไหน
ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ชื่อคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วทั้งสองอย่างนั้นไม่เหมือนกัน โดยน้ำมันปลาได้จากการสกัดจากส่วนต่างๆ ของปลาทะเล เช่น หนัง หรือหางปลา ในขณะที่น้ำมันตับปลาส่วนใหญ่ได้จากการสกัดจากตับของปลาทะเล แล้วการกินน้ำมันปลาช่วยอะไรบ้าง กินตอนไหน และน้ำมันปลากินวันละกี่มิลลิกรัม รวมถึงข้อควรระวังในการกินมีอะไรบ้าง บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยกัน
น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา
เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นสารสกัดที่ได้จากส่วนหนัง เนื้อ หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึก ส่วนน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) เป็นสารสกัดที่ได้จากส่วนตับของปลาทะเล โดยความเหมือนและความต่างของทั้งคู่ มีดังนี้
ความเหมือนทั้งน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาจะมีส่วนประกอบสำคัญอย่าง
กรดไขมันโอเมก้า 3 (OmegaEicosapentaenoic Acid (EPA)) จึงช่วยในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอล
และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันนอกจากนี้ ยังมี Docosahexaenoic
Acid (DHA) ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง
และช่วยเสริมเรื่องระบบการเรียนรู้ได้
ความแตกต่าง ภายในน้ำมันตับปลาจะมีปริมาณของวิตามินเอ
และวิตามินดีที่สูง ปัจจุบัน จึงมีคำเตือนเกี่ยวกับปริมาณที่นำไปใช้
เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดได้9 ส่วนน้ำมันปลา ในขณะที่น้ำมันปลา
มีความปลอดภัยกว่าเมื่อบริโภคไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน7
ประโยชน์ของน้ำมันปลามีอะไรบ้าง?
ประโยชน์ของน้ำมันปลามีอะไรบ้าง? กินแล้วช่วยเรื่องอะไร
น้ำมันปลามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอย่าง DHA และ EPA ในปริมาณที่สูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ การกินน้ำมันปลาเสริมจากอาหารมื้อหลักจึงช่วยให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน โดยสามารถจำแนกประโยชน์ของน้ำมันปลาที่มีต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้ดังนี้
1. การทำงานของสมอง
กรดไขมัน DHA ที่มีอยู่ในน้ำมันปลาเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันพื้นฐานที่พบได้ในเซลล์สมองมากถึง 40% จากงานวิจัยพบว่าระดับกรดไขมัน DHA ที่ลดลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ได้ อีกทั้งยังมีการศึกษาพบว่าความสมดุลของกรดไขมันมีผลต่อภาวะซึมเศร้า โดยผู้ที่มีระดับกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำกว่าปกติ และมีโอเมก้า-6 สูง มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าได้รุนแรงมากกว่า
รวมถึงมีงานวิจัยกล่าวว่าการกินน้ำมันปลามีส่วนช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้นในผู้มีภาวะถดถอยทางสมอง ทั้งนี้อาจจะสามารถช่วยได้มากเมื่อเริ่มกินในช่วงแรกที่การทำงานของสมองลดลง1
2. สุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ โดยผลการวิจัยพบว่าการกินน้ำมันปลาหรือปลาเป็นประจำจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยน้ำมันปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจในด้านต่างๆ ดังนี้2
ลดโอกาสการเกิดภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง
สามารถลดไตรกลีเซอไรด์ได้ 15–30%
เพิ่มระดับคอเรสเตอรอลชนิดดี (HDL) และอาจลดระดับคอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี
(LDL)
ลดความดันในเลือด ในผู้ที่มีความดันเลือดสูง
ช่วยในการไหลเวียนของเลือด
จึงลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
ลดโอกาสการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน
เนื่องจากช่วยยับยั้งการจับตัวกันของเกล็ดเลือดและลดภาวะการอักเสบ
3. สุขภาพของดวงตา
กรดไขมัน DHA นอกจากจะพบได้มากในสมองแล้ว ยังพบได้มากในจอประสาทตาด้วย ซึ่งมีมากถึง 60% ของกรดไขมันในประสาทตา โดยมีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับ Omega-3 ไม่เพียงพอมีความเสี่ยงต่อโรคทางตามากขึ้น เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ซึ่งการกินน้ำมันปลาในปริมาณที่สูงเป็นเวลา 19 สัปดาห์ สามารถจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุมีการมองเห็นที่ดีขึ้นได้3
4. ลดภาวะอักเสบ
น้ำมันปลาสามารถต้านการอักเสบ ซึ่งการอักเสบเรื้อรังมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า และโรคหัวใจ รวมถึงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ข้อฝืด ข้อเสื่อม และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ด้วย จากงานวิจัยหลายงานพบว่า DHA เป็นกรดไขมันสำคัญที่สามารถต้านการอักเสบได้ โดยลดระดับไซโตไคน์ ซึ่งเป็นตัวช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ยังอาจลดการอักเสบของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นหลังการออกกำลังกายได้ด้วย
5. สุขภาพผิว
ผิวหนังของคนเรานั้นมี Omega-3 อยู่เป็นจำนวนมาก แต่สุขภาพผิวจะค่อยๆ เสื่อมถอยลงเนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น น้ำมันปลาประกอบไปด้วย DHA และ EPA ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ น้ำมันปลาจึงช่วยลดการอักเสบของผิวหนังและเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวหนัง
โดยจากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่กินน้ำมันปลาเป็นเวลา 60 วัน มีความชุ่มชื่นของผิวหนังเพิ่มขึ้น 30% และมีงานวิจัยพบว่าการกินน้ำมันปลาที่มีกรดไขมัน EPA ปริมาณตั้งแต่ 1-14 กรัม และกรดไขมัน DHA ปริมาณตั้งแต่ 0-9 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน ช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงินซึ่งเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังดีขึ้น และช่วยลดการแห้งแตกของผิวหนัง4
6. ช่วยบรรเทาอาการหรือลดความเสี่ยงการเกิดโรค
ในน้ำมันปลามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในกลุ่ม Omega-3 ที่สำคัญอย่าง DHA และ EPA ที่มีส่วนช่วยบรรเทาอาการหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ มากมาย2 ดังนี้
โรคหลอดเลือดหัวใจ น้ำมันปลามีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
โรคความดันโลหิตสูง
ช่วยให้ความดันลดลงในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
โรคอัลไซเมอร์ กรดไขมันชนิด DHA ช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้
โดยเพิ่มสารที่ช่วยลดการสร้างเส้นใยที่ทำลายใยประสาทส่วนความจำ
ภาวะซึมเศร้า โอเมก้า-3
ช่วยปรับสมดุลของกรดไขมันในร่างกาย ทำให้อาการซึมเศร้ารุนแรงน้อยลง
โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โอเมก้า-3 โดยเฉพาะกรดไขมัน DHA สามารถต้านการอักเสบได้
โดยทำให้ระดับไซโตไคน์ (Cytokine) ลดลง
โรคเบาหวาน กรดไขมัน EPA มีผลช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
โรคไมเกรน กรดไขมัน EPA และ
DHA ที่พบมากในปลาสามารถช่วยลดอาการและความถี่ในการปวดหัวไมเกรน
โรคหอบหืด ในน้ำมันปลามี โอเมก้า-3
ที่เมื่อได้รับมากเพียงพอ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
จะช่วยลดการอักเสบและอาการหอบหืด โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็ก
โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน กรดไขมัน
EPA และ DHA ช่วยให้ผิวหนังอักเสบและแห้งแตกอาการดีขึ้น
น้ำมันปลา
ดีต่อสมองและหัวใจ
ข้อควรรู้ในการกินน้ำมันปลา
ข้อควรรู้ในการกินน้ำมันปลา
การกินน้ำมันปลาเพื่อช่วยทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างเพียงพอ ควรคำนึงถึงปริมาณที่ต้องกินต่อวัน ช่วงเวลาที่ควรกิน เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และสิ่งที่ไม่ควรกินร่วมกันเพราะอาจเกิดอันตรายได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ควรกินน้ำมันปลาวันละเท่าไหร่?
แม้ในปัจจุบันยังไม่มีการระบุปริมาณ DHA และ EPA ที่ร่างกายควรได้รับต่อวันไว้อย่างชัดเจน แต่องค์กรด้านสุขภาพส่วนใหญ่ให้คำแนะนำว่า วัยผู้ใหญ่ควรได้รับ DHA และ EPA ประมาณ 250-500 มิลลิกรับต่อวัน โดยในส่วนของกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic Acid) ที่ผู้ชายควรได้รับต่อวันจะอยู่ที่ 1.6 กรัมต่อวัน และผู้หญิงอยู่ที่ 1.1 กรัมต่อวัน6
ดังนั้น ในการบริโภคน้ำมันปลา ควรบริโภคไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการตกเลือด หรืออาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ตามมาได้ ทั้งนี้ การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลากับมื้ออาหารสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการเหล่านี้ได้7
กินน้ำมันปลาตอนไหนดี?
น้ำมันปลา หรือ Fish Oil ควรกินพร้อมอาหารหรือหลังมื้ออาหาร เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดี และช่วยลดอาการข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ เรอ หรือมีกลิ่นปาก ที่สำคัญควรกินอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลที่ดี และเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยช่วงที่แนะนำให้กินคือพร้อมมื้ออาหารจะดีที่สุด8
สิ่งที่ไม่ควรกินร่วมกับน้ำมันปลา
การกินน้ำมันปลานั้น ต้องกินอย่างระมัดระวัง ไม่ควรกินร่วมกับอาหาร ยา หรืออาหารเสริมบางชนิด เพราะอาจเป็นอันตรายกับร่างกายได้ เช่น
น้ำมันตับปลา
การกินร่วมกันอาจทำให้ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 มากเกินไป จนเกิดผลข้างเคียง
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน
วาร์ฟาริน หรือโคลพิโดเกล เมื่อกินพร้อมกันอาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า เสี่ยงต่อการเลือดออกแล้วหยุดช้า
อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
เพราะการกินน้ำมันปลาในปริมาณที่มากร่วมกับอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายยิ่งสูงจนเกินไป จนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
น้ำมันปลาเหมาะกับใคร?
น้ำมันปลาเหมาะกับใคร?
น้ำมันปลานั้นมีโอเมก้า-3
ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์จึงเหมาะกับคนหลายกลุ่ม เช่น
ผู้ที่รับประทานอาหารได้ไม่เพียงพอ
ส่งผลให้อาจขาดกรดไขมันที่จำเป็น
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
ผู้ที่ชอบกินอาหารไขมันสูง
หรือมีภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง
ผู้ที่มีปัญหาปวดข้อเข่า ข้อเข่าเสื่อม
หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์
ผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพทั่วไป
รวมถึงผู้สูงอายุที่ไม่มีโรคประจำตัวและไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะการแข็งตัวของเลือด
ผู้ที่ต้องระวังในการกินน้ำมันปลา
เพราะอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เช่น
ผู้ที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลา
หรือแพ้สารที่ใช้ในการผลิต จึงควรอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์ก่อนรับประทานเสมอ
ผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่ เช่น
แอสไพริน วาร์ฟาริน หรือโคลพิโดเกล เป็นต้น
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการแข็งตัวของเลือด
เลือดหยุดไหลได้ยาก หรือมีแผลในกระเพาะอาหาร
ผู้ที่กำลังจะต้องเข้ารับการผ่าตัดในอีกไม่นานนี้
น้ำมันปลา
ดีต่อสมองและหัวใจ
น้ำมันปลาช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์และความดันเลือดในผู้ที่มีค่าสูง ช่วยต้านการอักเสบ ลดการแห้งแตกของผิวหนัง และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคสะเก็ดเงิน ผู้ที่ต้องการกินน้ำมันปลาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรอ่านฉลากอย่างละเอียดและทำความเข้าใจก่อน ระวังการกินในปริมาณมากจนเกินไป และไม่กินร่วมกับน้ำมันตับปลา ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ถ้าหากมีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วย
โพรไบโอติกส์ (Probiotics) จุลินทรีย์นักรบช่วยปกป้องร่างกาย
ผลข้างเคียงของโพรไบโอติก หากกินมากเกินไป
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โพรไบโอติก ให้จุลินทรีย์
| บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส | 5.1 พันล้าน (5.1 x 109) CFU ต่อ 1.5 กรัม1 |
| แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส | 1.1 พันล้าน (1.1 x 109) CFU ต่อ 1.5 กรัม1 |
| แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ | 0.1 พันล้าน (0.1 x 109) CFU ต่อ 1.5 กรัม1 |
ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 ซอง:
| อินูลิน (85%) | 1,000.00 มก. |
| จุลินทรีย์โพรไบโอติก 5 สายพันธุ์* • บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (HN019) | 62.18 มก. |
| • แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (NCFM™*) | 21.40 มก. |
| • แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (La-14™*) | 1.39 มก. |
| • บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (BL-04™*) | 0.68 มก. |
| • แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lpc-37™*) | 0.50 มก. |
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นิวทริไลท์ ชูเอเบิ้ล ไฟเบอร์ เบลนด์ ชนิดเม็ดเคี้ยว สกัดจากส่วนผสมจากพืช 13 ชนิด ได้แก่ ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์จากอ้อย และใยอาหารจากอะเคเซีย อ้อย ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี เลมอน ถั่วเหลือง กระบองเพชร แอปเปิ้ล ถั่ว รำข้าวบาร์เลย์ อะเซโรลา เชอร์รี และแครอท พร้อมผสมกลิ่นส้มจากธรรมชาติ
ผลิตภัณฑ์นี้ให้ใยอาหารที่ช่วยเพิ่มกากในระบบทางเดินอาหาร
ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
ใน 1 เม็ด มีใยอาหารทั้งหมด 1,700 มิลลิกรัม ประกอบด้วย:
ใยอาหารที่ละลายน้ำ 950 มิลลิกรัม
ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ 750 มิลลิกรัม
ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด:
| ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ | 953 มก. (32.46%) |
| อะเคเซีย กัม | 258 มก. (8.79%) |
| ใยอาหารจากอ้อย | 258 มก. (8.79%) |
| ใยอาหารจากข้าวโอ๊ต | 129 มก. (4.39%) |
| ผงอะเซโรลา เชอร์รี | 95 มก. (3.23%) |
| ใยอาหารจากข้าวสาลี | 86 มก. (2.93%) |
| ใยอาหารจากถั่วเหลือง | 69 มก. (2.34%) |
| ใยอาหารจากกระบองเพชร | 60 มก. (2.05%) |
| รำข้าวบาร์เลย์ | 43 มก. (1.46 %) |
| ใยอาหารจากแอปเปิ้ล | 43 มก. (1.46%) |
| ใยอาหารจากถั่วลันเตา | 43 มก. (1.46%) |
| แครอท | 43 มก. (1.45%) |
โพรไบโอติก ดับเบิ้ลยู นิวทริไลท์ เครื่องหมายการค้า
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้จุลินทรีย์โพรไบโอติก 3 สายพันธุ์ จาก 2 ชนิด ได้แก่
แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส และแล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส ผสมผสานกับอินูลิน
และฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โพรไบโอติก ดับเบิ้ลยู ให้จุลินทรีย์
| แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส 6.0 x 109 CFU/2 กรัม (ซอง)1 |
| แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส 4.4 x 109 CFU/2 กรัม (ซอง)1 |
* วันหมดอายุอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเก็บรักษาที่แนะนำ
ส่วนประกอบสำคัญใน 1 ซอง:
| อินูลิน (90%) | 735.00 มิลลิกรัม |
| ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (95%) | 125.00 มิลลิกรัม |
| แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (NCFMTM) | 91.67 มิลลิกรัม |
| ผงแครนเบอร์รี | 54.07 มิลลิกรัม |
| แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (La-14TM) | 44.00 มิลลิกรัม |
| แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส (HN001TM) | 30.26 มิลลิกรัม |
ลุงฮง ยินดีให้คำปรึกษาและให้
ติดต่อลุงฮงที่
โทรและไลน์ 081-6032249


















ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น