อิสรภาพของชีวิตไร้กังวล
ใช้ชีวิตอย่างที่ชอบ ทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ใช่ ไร้กังวลกับเรื่องการเงิน
อิสรภาพทางการเงิน คือ การที่เรามีเงินมากพอที่จะจับจ่ายใช้สอยไปจนสิ้นอายุขัยโดยที่ไม่ต้องทำงาน แต่นัยจริง ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องทำงานเลย เราทำงานต่อไปได้ (หรือจะไม่ทำก็ได้ แต่ไม่แนะนำเพราะความเหงาจะมาเยือนจะทำให้เป็นเป็นอัลไซเมอร์ได้)
คุณจะทำงานเดิมหรือเปลี่ยนไปเป็นงานใดๆที่คุณรักก็ย่อมทำได้หรือไปทำงานอาสาช่วยเหลือผู้คนไปเลย ก็ได้บุญและมีความสุขอีกด้วย แต่ ณ เวลาที่เรามีอิสรภาพทางการเงินนั้น เราจะไม่เครียดเรื่องเงินทองแล้ว เพราะเรามั่นใจแล้วว่าเราจะมีเงินมากพอที่จะใช้ไปจนสิ้นอายุขัยได้ แต่ไม่ได้หมายความเราจะมีอิสรภาพกับทุกเรื่องนะครับ เราจะยังมีภาระอื่น ๆ อีก เช่น ครอบครัว ยกเว้นเรื่องเงินที่เราไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วนั้นเอง
เราได้ปลดตัวเราออกมาจากความกังวลที่ต้องเผชิญ สมัยที่ยังคงทำงานเลี้ยงชีวิต มีคนหลายคนไม่รู้ว่าต้องมีเงินเท่าไรถึงมากพอที่จะพบกับอิสรภาพทางการเงิน บางคนเรื่องอิสรภาพทางการเงินไม่ได้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ โดยข้ออ้างที่มักได้ยินเป็นประจำ คือ เอาแค่เงินพอใช้ก็แทบจะไม่ไหวแล้ว ซึ่งยอมรับจริง ๆ ว่าหลายท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราใช้เงินแบบเดือนชนเดือน หาปัญหาให้เจอว่าเงินหายไปไหน เพื่อที่แก้ปัญหาเหล่านั้นให้ได้ก่อนที่เราจะมาคุยกันเรื่องอิสรภาพทางการเงิน เพราะหากเรายังไม่หลุดกับดักนั้นออกมา ก็คงไม่สามารถคิดเรื่องการมีอิสรภาพทางการเงินได้เลย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะยังใช้เงินแบบเดือนชนเดือนอยู่ แต่เราควรมีเรื่องอิสรภาพทางการเงินเป็นเป้าหมายหนึ่งในชีวิต แม้ว่าวันนี้เราจะคิดว่ามันไกลเกินเอื้อมก็ตาม
มีเท่าไรถึงเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงิน
การมีอิสรภาพทางการเงินในธุรกิจนี้เริ่มต้นตั้งแต่คุณสามารถสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจ ปันผลเดือนห้าหมื่นบาทขึ้นไป ปีแต่ไปคุณสามารถขยับขึ้นไปในระดับมรกต ปันผลขยับเป็นเดือนละแสน ปีต่อไปสามารถขยับเป็นระดับเพชร ปันผลขยับขึ้นไปเดือนละสองแสนบาท คุณจะลืมเป้าหมายของอิสรภาพทางการเงินตอนนั้น คือ ปันผลที่ได้ทำให้คุณไม่ต้องกังวลกับรายจ่ายของคุณเหมือนแต่ก่อนสำเร็จ เพราะมีความมั่นใจว่า ธุรกิจจะนำปันผลส่งมาให้คุณและสามารถจ่ายหนี้ที่คงค้างได้ตลอดไปซึ่งคุณเองก็รู้สึกสบายขึ้นไม่มีความเครียดเหมือนแต่ก่อน มีเงินเหลือให้คุณจับจ่ายใช้สอยไม่ต้องกระเบียดกระเสียนเหมือนก่อน ทำธุรกิจไปสักระยะเป้าหมายของคุณก็เริ่มสูงขึ้นทำให้คุณมีความสุขกับการเติบโตให้ธุรกิจซึ่งทำได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่ช่วยเหลือคนมากๆคุณก็จะสำเร็จตามไปนั่นเอง
“ผมอยากเป็นคนขี้เกียจที่มีความรับผิดชอบและสามารถขี้เกียจได้ตลอดไป” คือแนวคิดในอุดมคติที่หลาย
คนได้แต่ฝัน แต่ เชวง คุณชยางกูร สามารถทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง
จากเด็กขี้เกียจคนหนึ่งที่เรียนได้ระดับกลางๆ ใช้ชีวิตไปกับการดูบอล เล่นเกม และอ่านหนังสือการ์ตูน
ในขณะที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันกำลังสนุกกับชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่ เชวงกลับเลือกทิ้งกิจกรรมทุกอย่าง
และเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายว่าเขาจะต้องสร้างความมั่นคงในชีวิต เพื่อที่วันหนึ่ง
เขาจะสามารถเลือกใช้ชีวิตได้แบบที่ตัวเองต้องการโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ
และเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาก็ได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความอิสระที่เคยต้องการแบบเต็มที่ เขาใช้เวลา
หมดไปกับการท่องเที่ยว ดูฟุตบอลวันละ 3 คู่ เล่นเกม อ่านการ์ตูนจนหมดร้านอยู่ 6 ปีเต็ม โดยที่ไม่ต้อง
ทำงานอะไรเลย มีชีวิตที่อิสระ แต่กลับรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ นั้นยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะเขาต้องการเติม
เต็ม ‘คุณค่า’ ที่ขาดหายไปของชีวิต ด้วยการปรับสมดุลในชีวิตใหม่ ให้สามารถประสบความสำเร็จทาง
ธุรกิจไปพร้อมๆ กับการทำสิ่งที่รักไปพร้อมๆ กัน
รวมทั้งจุดเปลี่ยนครั้งล่าสุด เมื่อเขาเปลี่ยนสถานะกลายเป็น ‘พ่อ’ คน และต้องการส่งต่อวิธีคิดและ
ประสบการณ์ที่เขาเจอมาทั้งหมด ให้กับลูกๆ ทั้งสองคน ได้มี ‘อิสระ’ ในการเลือกใช้ชีวิตตามแนวคิด
I Am What I Am ต่อไปในอนาคต
สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมความคิดของลูกชายคนเล็ก
ผมเป็นลูกคนเล็กสุดในบ้านที่มีพี่น้อง 5 คน ชีวิตสบายมาก ไม่ต้องทำอะไร และไม่ชอบทำอะไรเลย
นอกจากเรียนตามที่แม่บอก เต็มที่ก็อ่านการ์ตูน เล่นเกม ดูฟุตบอล แล้วก็เป็นเด็กเรียนกลางๆ ค่อนข้าง
ขี้เกียจ คุณแม่ไม่เคยบังคับอะไรเลย นอกจากขอว่าอย่างน้อยให้อยู่ห้องคิง ซึ่งผมก็ทำได้ ตรงนี้ต้อง
ขอบคุณแม่ผมมากๆ เลยนะ ที่วางเรื่องพวกนี้เอาไว้ เพราะพอผมมีคุณแม่สอนให้ทำตัวดี มีพี่น้องที่
เรียนเก่ง อยู่ในโรงเรียนกับเพื่อนกลุ่มที่เรียนเก่ง ทำให้ถึงผมจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ก็จะถูกสภาพแวด
ล้อมที่ผลักดันเราทำตัวอยู่ในกรอบ ถึงจะเป็นคนขี้เกียจก็เป็นคนขี้เกียจในหมู่คนขยัน อย่างน้อยก็
เป็นคนเก่งน้อยที่สุดในหมู่คนเก่งมาก และไม่เคยทำอะไรไม่ดี เพราะไม่อยากให้คุณแม่เสียใจ
จากเด็กที่ค่อนข้างขี้เกียจ พลิกตัวเองจนกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย
จุดตั้งต้นก็มาจากความขี้เกียจอีก (หัวเราะ) ผมรู้ว่าความขี้เกียจมีวันสิ้นสุด ตอนเรียนอยู่ปี 2 พี่ชายที่เป็น
หมอเขาทำอยู่ เกิดความเป็นห่วง และคิดว่าชีวิตของผมควรจะมีอะไรเป็นหลักแหล่งทำได้แล้ว ก็เลยชวน
ไปทำด้วยกัน พอศึกษาก็รู้ว่า นี่คืองานที่เหมาะกับคนอย่างเราเลย ถึงผมจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ก็เป็นคน
ขี้เกียจที่รับผิดชอบ อย่างน้อยก็ต้องดูแลชีวิตตัวเองให้มั่นคง รวมทั้งดูแลครอบครัวของเราได้ ก็เลย
ตัดสินใจทิ้งกิจกรรมทุกอย่าง เหลือไว้แค่การเรียนกับการทำงานอย่างเต็มตัว
จุดเริ่มต้นสำหรับการมีชีวิตที่ขี้เกียจไปตลอดได้อย่างที่คิด
สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่วิธีการ แต่เป็นการเดินออกมาจากคอมฟอร์ตโซน จริงๆ ผมไม่ต้องมาทำงานนี้ก็ได้
เพราะที่บ้านก็มีธุรกิจของคุณแม่ให้กลับไปทำ แต่ผมอยากลองสร้างอะไรที่เป็นตัวเองจริงๆ ขึ้นมาก่อน
คิดถึงคนทั่วไปที่เรียนเสร็จไปดูหนัง กลับบ้าน ชีวิตสนุกมากเลยนะ แต่ของผมกลายเป็นไปเรียน ทำงาน
ไปเรียน ประชุมแล้วค่อยได้กลับบ้าน บางครั้งก็คิดว่ามันไม่สนุก แต่พอเข้าไปทำงานจริงๆ ผ่านการ
ประชุมกันหลายครั้ง ผมเลยมองเห็นว่า นี่แหละคือธุรกิจที่จะทำให้เรามีชีวิตในแบบที่เราต้องการจริงๆ
ผมขอเปรียบเทียบตอนเด็กๆ ที่ผมร้องไห้ทุกเช้าตอนไปเรียนจนอยู่นานพอสมควรเลยนะ ร้องจนที่บ้าน
งงว่าเป็นอะไร แต่พอวันหนึ่งคิดขึ้นมาได้ว่าร้องไห้อย่างไรก็ต้องไปเรียนอยู่ดี แล้วจะร้องทำไม ถ้าอย่าง
นั้นก็เปลี่ยนความคิดใหม่ เมื่อต้องไป ก็จงไปเรียนให้มีความสุข พอมาทำงานตรงนี้ก็ใช้แนวคิดเดียวกัน
เมื่อเราเลือกแล้วว่าจะทำเพื่อให้มีชีวิตอย่างที่ต้องการ ก็ควรหาความสุขจากงานที่ทำให้ได้
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรยากแล้ว
การมองเห็นคุณค่าในชีวิต คือการได้เป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่น
หลังจากผมทิ้งกิจกรรมทุกอย่างยกเว้นการเรียนเพื่อมาทำธุรกิจอยู่ 5 ปีเต็ม จนธุรกิจของเรามั่นคง
สามารถไปต่อได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร ผมก็กลับมาทำทุกอย่างที่เคยละเลยไปก่อนหน้านั้น
ทั้งอ่านการ์ตูน เล่นเกม ดูบอล ไปเที่ยว โดยที่ไม่ทำงานอะไรเลยนะ แต่กลายเป็นว่าผมไม่มีแพสชั่น
เหมือนตอนแรก
เชื่อไหมว่าชีวิตตอนนั้นผมดูบอลวันละ 3 คู่ ตื่นมาอ่านการ์ตูน เล่นเกม วนไปเรื่อยๆ อย่างเดียวเลย
การ์ตูนนี่อ่านจนเดินเข้าไปในร้านการ์ตูนก็ไม่มีเรื่องไหนที่ผมไม่มี ถ้าไม่นับการ์ตูนตาหวาน (หัวเราะ)
เกมก็ไล่เคลียร์ทุกเกมที่เคยทิ้งไปจนครบทุกภาค ช่วง 2-3 ปีแรกนี่สนุกมากเลยนะ แต่พอผ่านไปก็
เหมือนเดิม เริ่มเบื่อ ไม่อยากอ่านการ์ตูน ไม่อยากเล่นเกมแล้ว แต่ก็ต้องอ่าน เพราะไม่มีอะไรทำ (หัวเราะ)
เป็นแบบนั้นไปอีก 3 ปี จนคิดว่า เฮ้ย ชีวิตแบบนี้ไม่น่าจะใช่สิ่งที่เราต้องการแล้ว
เพราะหนึ่งคือ คุณค่าในชีวิตที่เคยรู้สึกว่าเราได้ช่วยเหลือให้คนอื่นมีอาชีพ มีชีวิตที่ดี ความภาคภูมิใจตรงนี้
มันหายไป สอง เริ่มรู้สึกว่าความคิดความอ่านเราเริ่มไม่คมเหมือนเดิม จากเมื่อก่อนเคยคิดกลยุทธ์ในธุรกิจ
การตลาดต้องแบบนี้ๆ กลายเป็นคิดอะไรไม่ค่อยออก ตอบสนองช้าไปหมด
เลยมาคิดว่าชีวิตของเราพุ่งไปขวาสุดและซ้ายสุดแบบนั้นคงไม่ดีแล้ว มาคิดเรื่องการปรับบาลานซ์ในชีวิตใหม่
เราอยากก้าวหน้าทางธุรกิจ อยากทำประโยชน์ให้คนอื่น และอยากใช้ชีวิตที่เลือกทำทุกอย่างได้แบบที่ตัวเอง
ต้องการ ก็เป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองให้กลับมาทำทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน พอทำแอมเวย์สำเร็จ ก็จะมี Work-Life
Balanced
มากขึ้นได้
เพราะความสำเร็จของชีวิตคือการบาลานซ์ที่ดี
เวลาทำธุรกิจ ถ้าเริ่มต้นจากความที่มุ่งเน้นเรื่องธุรกิจมากๆ มาก่อน ฉันอยากรวย อยากมีชีวิตที่ดี เรื่องอื่นๆ
ในชีวิตจะกลายเป็นเรื่องรองลงมา ลูกเอาไว้ทีหลัง ทำชีวิตให้ดีก่อน แต่ผมไม่เชื่อแบบนั้น อย่างที่บอกว่า
ผมเชื่อในเรื่องการบาลานซ์ชีวิต เราต้องสามารถทำธุรกิจไปพร้อมๆ กับการมีชีวิตที่ดี และมีเวลาให้
ครอบครัว ให้ลูกไปพร้อมๆ กันได้ และถ้าผมทำแบบนั้นได้ มันจะเป็นเสน่ห์ที่ช่วยยืนยันกับคนอื่นได้ว่า
สิ่งที่ผมทำอยู่มันดีจริงๆ อันนี้คือความคิดตอนแรก
แต่พอมีจริงๆ กลายเป็นอีกมุมหนึ่งเลย การมีลูกช่วยมาตอบคำถามว่าเราทำทุกอย่างไปทำไม ณ เวลานี้
ผมอยากส่งต่อสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นประสบการณ์ที่ผมมีตลอดชีวิตให้กับลูกของผมด้วยตัว
ของผมเอง เพื่อให้เขามีหลักคิดบางอย่าง เพื่อนำไปใช้เลือกเส้นทางเดินในชีวิตตามแบบที่เขาต้องการ
ต่อไป
สิ่งสำคัญที่อยากส่งต่อให้กับลูก
ผมมีลูก 2 คน คนโตอายุ 5 ขวบ คนเล็กอายุ 2 ขวบ ผมมีพี่เลี้ยงให้เขาแบบ 1 ต่อ 1 คน เพราะฉะนั้น
ตามปกติผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะมีคนดูแลเรื่องอาหาร มีคนขับรถพาไปเรียน ไปไหนมา
ไหน แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางที่ผมอยากทำ ผมคิดว่าลูกเสือก็ต้องให้เสือเลี้ยง เพราะฉะนั้นผมจะเป็นคนทำทุกอย่าง
ด้วยตัวเอง แล้วพี่เลี้ยงก็นั่งอยู่ข้างๆ นั่นแหละ (หัวเราะ) ให้เขาป้อนข้าวก็ได้ แต่ผมไม่ทำ ผมต้องการสอน
และพูดคุยกับเขาไปด้วยในทุกๆ เวลา
ผมได้เรื่องนี้มาจากแม่ของผมแบบที่เล่าไป เพราะแม่ได้ใส่ความคิดที่ดีให้กับผมตั้งแต่เด็ก เช่นเดียวกัน
ผมก็ต้องการส่งต่อความคิดและประสบการณ์ให้กับลูก แน่นอนว่าผมไม่สามารถอยู่ค้ำโลกและเลี้ยงดูเขา
ไปได้ตลอด แต่สิ่งที่ผมสอนจะอยู่ดูแลเขาได้ตลอดชีวิต อย่างน้อยผมอยากให้เขามีความคิดแบบที่ผม
เชื่อว่า ถ้าคุณโกง สักวันหนึ่งคุณจะต้องโดนดีแน่ๆ เชื่อในสิ่งที่ถูกต้องเถอะ แล้วคุณจะได้สิ่งที่ถูกต้องกลับ
คืนมา ซึ่งพี่เลี้ยงเขาสามารถดูแล ป้อนข้าวให้ลูกได้ แต่เขาไม่สามารถมอบแนวคิดแบบนี้ให้กับลูกผมได้
การได้ใช้เวลาร่วมกันของพ่อและลูกคือสิ่งล้ำค่า
พอเขาไปเรียน ผมก็กลับมานอนต่อ พอเรียนเสร็จ ผมก็ดูแลเขาต่อ นี่คือชีวิตที่มีความสุข และเป็นชีวิตที่
เลือกได้จริงๆ แล้วผมวัดผลในการใช้ชีวิตจากเพอร์ฟอร์แมนซ์หลายๆ ด้าน หนึ่ง ถ้าธุรกิจเรายังเติบโตไปได้
และสอง ถ้าเรายังมีเวลาอยู่กับลูก มีพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ แค่นี้จบ
มันคือการบาลานซ์ชีวิตที่ถูกต้อง
การเป็นต้นแบบของความอิสระในการได้เลือกใช้ชีวิตของตัวเองให้ลูก
ใช่ครับ ถ้าเขามีพื้นฐานความคิดที่ดี เขาอยากเลือกทำอะไรแล้วแต่เขาเลย ผมว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำนะ
ถ้าเขามีความฝัน มีแพสชั่นอยากทำอะไรสักอย่าง แล้วทุ่มเทกับมันจริงๆ หรืออาจจะไปทำงานประจำ
ไม่ต้องทำธุรกิจแบบผมก็ได้ การได้ลองใช้ชีวิตแบบนั้นจะทำให้เขาชัดเจน ถ้ามัวแต่ประคองเขาทุกอย่าง
เมื่อไรเขาจะเก่ง ถ้าไม่ปล่อยให้เขาผ่านร้อนผ่านหนาว เมื่อไรเขาจะประสบความสำเร็จได้ และจากพื้นฐาน
ความมั่นคงที่เราสร้างมาก่อน ก็ทำให้เราสามารถที่จะคอยสนับสนุนในสิ่งที่เขาเลือกแล้วได้อย่างเต็มที่
เรื่องนี้สำคัญนะครับ ผมคิดว่า ถ้าอยากให้ลูกมีอิสระในการเลือกได้อย่างเต็มที่ คนเป็นพ่อแม่ต้องมีอิสระ
ในชีวิตมากพอเสียก่อน ถึงจะส่งมอบอิสระนั้นให้กับลูกได้ แต่ก็ระวัง เพราะถ้าเป็นความอิสระที่ไม่มีขอบเขต
มันจะกลายเป็นการสปอยล์หรือตามใจจนเกินเหตุ ผมไม่อยากให้ลูกคิดว่า พ่อมีเงิน ถ้าอย่างนั้นเอาเงิน
สักสิบล้านไปเปิดร้านกาแฟเก๋ๆ โดยไม่ได้วางแผนให้รอบคอบ แต่ถ้าเขามีพิมพ์เขียวที่ชัดเจน
มีการวางแผนเป็นอย่างดี แล้วอยากลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง อันนี้มาได้เลย ผมให้อิสระและสนับสนุน
เต็มที่
รูปแบบชีวิตแบบ I Am What I Am
อย่างแรกคือ ผมลองผิดลองถูกมาเยอะ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ แนวคิดที่จะตามมาเมื่อเราตัดสินใจทำ
อะไรลงไปแล้ว ทุกๆ อย่างที่ผมทำ ผมใช้คำว่า ‘บางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็เรียนรู้’ ผมไม่มีคำว่าล้มเหลว
ในสมอง พอไม่มีคำว่าล้มเหลว มันจึงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
แต่เราเรียนรู้จากมันได้ทุกครั้ง การไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความล้มเหลวนั้นเลยต่างหาก คือความล้มเหลว
ที่แท้จริง
พอคิดได้แบบนี้ ทำให้เชื่อและมั่นใจว่า ผมสามารถทำได้ทุกอย่างถ้าผมเลือกแล้วจริงๆ สมมติผมอยาก
เป็นเชฟ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอาหารเลยนะ ตอกไข่ยังทำไม่เป็น แต่ถ้าผมลองผิดลองถูก ผมอาจจะโดนมีดบาด
โดนไฟลวก ทำอาหารไม่อร่อย แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะมันไม่ใช่ความล้มเหลว มันคือก้าวหนึ่งที่จะทำ
ให้เราประสบความสำเร็จ พอสนุกที่จะได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่เกิดความย่อท้อ พอไม่ย่อท้อ เราก็จะ
สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่ตั้งใจ
ทุกวันนี้ที่ผมยังทำธุรกิจเครือข่ายอยู่ เพราะเรียนรู้แล้วว่ามันเป็นงานที่ทำให้เราบาลานซ์ด้านอื่นๆ
ของชีวิตได้ และเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้จริงๆ
โอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นของทุกคน คุณเองก็ทำได้!
ลุงฮงตั้งใจสนับสนุน
หุ้นส่วนทางธุรกิจของเราไม่หยุ
ลุงฮง ยินดีให้คำปรึกษาและให้
ติดต่อลุงฮงที่
โทรและไลน์ 081-6032249
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น